วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทที่ 3 เทคโนโลยีการสื่อสารข้อมูล


           ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หมายถึง การติดต่อสื่อสารหรือการเชื่อมต่อกันระหว่างระบบคอมพิวเตอร์ตั้งแต่  2 เครื่องขึ้นไป ผ่านสื่อกลางในการติดต่อสื่อสารหรือการเชื่อมต่อเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน

 องค์ประกอบของระบบการสื่อสารข้อมูล ประกอบไปด้วย 5 
1. ข้อมูล (Data)
2. ฝ่ายส่งข้อมูล (Sender) 
3. ฝ่ายรับข้อมูล (Receiver) 
4. สื่อกลางส่งข้อมูล (Media) 
5. โพรโตคอล (Protocol) 

องค์ประกอบของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
1. คอมพิวเตอร์ :จะต้องมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อย 2 เครื่อง ขึ้นไป
2 .การ์ดเชื่อมต่อเครือข่าย (Network Interface Card: NIC) :การ์ดที่เสียบเข้ากับช่องเมนบอร์ด เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างคอมพิวเตอร์และเครือข่าย
3 .สื่อกลางและอุปกรณ์สำหรับการรับส่งข้อมูล (Physical Media): เช่น สายคู่ตีเกลียว หรือคลื่นวิทยุ
4 .โพรโตคอล (Protocol):มาตรฐานหรือข้อตกลงที่ตั้งขึ้น
5. ระบบปฏิบัติเครือข่าย (Network Operating System: NOS):ตัวกลางในการควบคุมการใช้ทรัพยากรต่างๆ ของเครือข่าย 

 ประโยชน์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์   
1. ด้านการใช้ทรัพยากรร่วมกันได้
2.ด้านการลดค่าใช้จ่าย
3.ด้านความสะดวกในด้านการสื่อสาร 
4. ด้านความน่าเชื่อถือของระบบงาน

รูปแบบของการสื่อสารหลักๆ อยู่ 3 รูปแบบ 
1. การสื่อสารแบบ Uncast
2. การสื่อสารแบบ Broadcast
3. การสื่อสารแบบ Multicast
 มีลักษณะการสื่อสารได้ 3 รูปแบบ
1. การสื่อสารแบบซิมเพล็กซ์
2. การสื่อสารแบบฮาล์ฟดูเพล็กซ์
3. การสื่อสารแบบฟูลดูเพล็กซ์ 

ระบบเครือข่ายไร้สาย:หมายถึง การสื่อสารข้อมูลระหว่างคอมพิวเตอร์ผ่านระบบเครือข่าย โดยไม่ต้องผ่านสายสัญญาณ แต่ข้อมูลผ่านการใช้คลื่นความถี่วิทยุในย่านวิทยุ 
 นิยมแบ่งเป็น 4 ประเภท 
1. ระบบเครือข่ายไร้สายส่วนบุคคล 
2. ระบบเครือข่ายท้องถิ่นไร้สาย 
3. ระบบเครือข่ายเมืองไร้สาย 
4. ระบบเครือข่ายขนาดใหญ่ไร้สาย 

วันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

บทที่2 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์


เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

 


ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์


       คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติทำหน้าที่เสมือนสมองกลใช้สำหรับแก้ปัญหาต่าง ๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์

1.ลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์

1.1การปฏิบัติงานอัตโนมัติ(self acting) การประมวลผลข้อมูลตามลำดับคำสั่ง ได้อย่างถูกต้อง ต่อเนื่อง โดยอัตโนมัติ ตามคำสั่งและขั้นตอนที่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นผู้กำหนดไว้
 
 
1.2 ความเร็ว (speed)ความเร็วในการประมวลผลจะถูกกำหนดโดยหน่วยประมวลผลในซีพียู ซึ่งคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันสามารถประมวลผลได้มากกว่าล้านคำสั่งต่อวินาที
 
1.3 การจัดเก็บข้อมูล (storage)ที่สามารถจัดเก็บได้เป็นจำนวนมากและสามารถเก็บได้เป็นระยะเวลานาน
 
1.4 ความน่าเชื่อถือ (reliability) กำหนดความน่าเชื่อถือของคอมพิวเตอร์ นั่นคือ ถ้าป้อนคำสั่งหรือใช้ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ก็อาจจะได้ผลลัพธ์ไม่ดีเท่าที่ควร

 
1.5 ความถูกต้องแม่นยำ (accuracy) เป็นความถูกต้องแม่นยำของการคำนวณของเครื่องคอมพิวเตอร์
 
1.6  การทำงานซ้ำ ๆ (repeatability) สามารถวนทำงานคำสั่งซ้ำๆ ได้ ขึ้นกับโปรแกรมที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น

1.7 การติดต่อสื่อสาร (communication) สามารถวนทำงานซ้ำๆ ได้ ขึ้นกับโปรแกรมที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน ทำให้สามารถทำงานได้เร็วขึ้น



2. หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

   2.1 มีการรับข้อมูลคำสั่งเข้ามายังเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านหน่วยรับข้อมูล/คำสั่ง

    2.2  ข้อมูลจะถูกส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผลกลางเพื่อทำการประมวลผลตามคำสั่งที่ตั้งไว้

    2.3 ในขณะที่ทำการประมวลผลหน่วยความจำหลักและทำหน้าที่เก็บคำสั่งต่างๆ ในการประมวลผล

     2.4 เมื่อประมวลผลเสร็จแล้ว ผลลัพธ์จะถูกเก็บที่หน่วยความจำสำรอง

     2.5 หน่วยแสดงผลทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากการประมวลผล



 
 

ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์


 
1. หน่วยรับข้อมูลเข้า (input unit)
       ทำหน้าที่รับข้อมูล/คำสั่ง เข้าไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยรับข้อมูล ประกอบด้วย

1.1 อุปกรณ์รับคำสั่งจากผู้ใช้ ได้แก่ เมาส์ (mouse) คีย์บอร์ด (keyboard)เป็นต้น

1.2 อุปกรณ์ที่นำเข้าข้อมูลจากภายนอกเข้ามาสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เช่น ข้อมูลภาพ ผู้ใช้ต้องทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์เหล่านี้เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ จากนั้นทำการโอนย้ายข้อมูลเข้ามาเพื่อทำงานต่อไป
1.3 อุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่ทำให้คอมพิวเตอร์รับรู้และแยกแยะความแตกต่างระหว่างอักขระและรูปแบบเช่น เครื่องอ่านรหัสบาร์โค้ด เป็นต้น


 
2. หน่วยประมวลผลกลาง

          หน่วยประมวลผลกลาง (central processing unit: CPU) เปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประมวลผลและควบคุมระบบการทำงานต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ เพื่อให้อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ทุกอย่างทำงานสอดคล้องสัมพันธ์กัน

                ส่วนประกอบของหน่วยประมวลผลกลาง มีดังนี้
 2.1 หน่วยควบคุม (control unit) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทุก ๆ อุปกรณ์ ในหน่วยประมวลผลกลาง
2.2 หน่วยคำนวณและตรรกะ(arithmetic and logic unit: ALU) ปฏิบัติการเกี่ยวกับการคำนวณต่าง ๆ

2.3 หน่วยความจำหลัก(main memory unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลและคำสั่งที่ใช้ในการประมวลผลในครั้งหนึ่ง ๆ เท่านั้น

      2.3.1 รอม (read only memory: ROM) เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บคำสั่งที่ใช้บ่อย ๆ
      2.3.2 แรม (random access memory: RAM) เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูลและคำสั่ง จากหน่วยรับข้อมูล ข้อมูลและคำสั่งเหล่านั้นจะหายไปเมื่อมีการรับข้อมูล/คำสั่งใหม่
          
 
3. หน่วยความจำ


หน่วยความจำของเครื่องคอมพิวเตอร์(memory unit) คือ ส่วนที่ใช้เก็บข้อมูล/คำสั่ง สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
3.1 หน่วยความจำหลัก (main memory unit) เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยประมวลผลกลาง
                
3.2 หน่วยความจำสำรอง (secondary memory unit) เป็นหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูลต่าง ๆ ที่ผ่านกระบวนการประมวลผลมาแล้ว และหลังจากที่ได้ทำการบันทึกข้อมูลลงในหน่วยความจำสำรองถึงแม้จะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ข้อมูลก็ยังอยู่
                


 

4. หน่วยแสดงผล

      หน่วยแสดงผล (output unit) ทำหน้าที่รับข้อมูลจากหน่วยความจำซึ่งผ่านการประมวลผลแล้วมาแสดงในรูปแบบต่าง ๆ โดยอาศัยอุปกรณ์แสดงผล ดังนี้
         4.1 จอภาพ (monitor)
         4.2 ลำโพง(speaker)
         4.3 เครื่องพิมพ์(printer)
 

5. หน่วยติดต่อสื่อสาร

       หน่วยติดต่อสื่อสาร (communication unit) การเชื่อมต่อเข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต แบ่งได้ดังนี้
 
     5.1 หน่วยติดต่อสื่อสารที่เชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ไปยังอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ประกอบด้วย พอร์ตวีจีเอ พอร์ตดีเอ็มไอ และบลูทูธ
     5.2 หน่วยติดต่อสื่อสารที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต แบ่งได้ 2 ประเภท ดังนี้
            5.2.1อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตแบบใช้สายสัญญาณ 
                 ประกอบไปด้วย การ์ดเน็ตเวิร์ค และโมเด็ม
           5.2.2อุปกรณ์เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบไร้สาย

                  



 

ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์


 
1.ประเภทของซอฟแวร์

 ซอฟแวร์เป็นชุดคำสั่งที่สั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงาน
     1.1 ซอฟแวร์ระบบ(system software) ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์รวมถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มาพ่วงต่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
       1.1.1 ระบบปฏิบัติการ (operating system: OS) ทำหน้าที่เชื่อม
               โยงระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ และผู้ใช้
           1.1.2 โปรแกรมแปลภาษา (complier and interpreter) เป็น
                    ซอฟแวร์ที่ทำหน้าที่แปล ภาษา โปรแกรมเมื่อมีการเขียน
                    โปรแกรมให้คอมพิวเตอร์เข้าใจรหัสคำสั่งที่ป้อนเข้าไป
           1.1.3 โปรแกรมอรรถประโยชน์(utilities program)เป็นซอฟแวร์
                     ระบบที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำ  
                     งานของคอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ซอฟแวร์
                     ในกลุ่มของ system tools

     1.2 ซอฟแวร์ประยุกต์(application software) คือ ซอฟแวร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อประยุกต์กับงานที่ผู้ใช้ต้องการ แบ่งได้ 2 ประเภท
ดังนี้
          1.2.1 ซอฟแวร์สำเร็จรูป (package software) เป็นซอฟแวร์ที่
                   สามารถหาซื้อมาใช้งานได้สะดวก ติดตั้งและทำงานได้
                   ทันที
          1.2.2 ซอฟแวร์เฉพาะด้าน เป็นซอฟแวร์ที่บริษัทซอฟแวร์ทำ
                   การพัฒนาขึ้นมาเพื่อให้ตอบสนองกับความต้องการของผู้
                  ใช้เฉพาะด้าน

 
2. แนวโน้มของการใช้ซอฟแวร์ในอนาคต

         2.1 การแข่งขันกันทางด้านซอฟแวร์ที่ใช้สำหรับสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แบบแท๊บเล็ตจะมีมากยิ่ง ขึ้น
        2.2 ผู้ที่ใช้งานสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แท๊บเล็ตจะทำการดาวน์โหลดซอฟแวร์ต่าง ๆ ผ่านแอพพลิเคชั่นสโตร์มากยิ่งขึ้น
        2.3 การเข้าใช้งานซอฟแวร์ทำได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นซอฟแวร์ที่ติดตั้งในเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ๆ โดยตรง

       2.4 การใช้งานซอฟแวร์ผ่านการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ(cloud computing) มากยิ่งขึ้น
      
       2.5 มีการใช้งานซอฟแวร์ในรูปแบบของบริการมากยิ่งขึ้น(Software as a Service: SaaS)

       2.6 จะมีการผสมผสานการใช้งาน ระหว่างการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆสมาร์ทโฟน และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ในการทำงานขององค์กรมากยิ่งขึ้น

                               


                           

ประเภทของคอมพิวเตอร์


 
1. ซูเปอร์คอมพิวเตอร์

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะในการทำงานสูงกว่าคอมพิวเตอร์แบบอื่นๆ สามารถคำนวณตัวเลขที่มีจุดทศนิยมด้วยความเร็วสูงขนาดหลายร้อยล้านคำสั่ง/วินาที เหมาะกับงานที่มีการคำนวณมากๆ เช่น งานวิเคราะห์ภาพถ่ายจากดาวเทียม

2. เมนเฟรมคอมพิวเตอร์

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมากถัดจากซูเปอร์คอมพิวเตอร์ สามารถประมวลข้อมูลได้อย่างรวดเร็วหลายสิบล้านคำสั่ง/วินาที เหมาะกับการใช้งานด้านวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ และธุรกิจ โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับข้อมูลมาก ๆ เช่น งานธนาคาร

3. มินิคอมพิวเตอร์

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะต่ำกว่าเครื่องเมนเฟรม ทำงานได้ช้ากว่า ควบคุมอุปกรณ์รอบข้างได้น้อยกว่าและราคาก็ถูกกว่าเครื่องเมนเฟรม

4. ไมโครคอมพิวเตอร์

เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก ในปัจจุบันมีการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างแพร่หลาย เนื่องจากราคาของเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่แพงรวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานสูง



การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์

 

มีหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อนำมาใช้งาน มีดังนี้

1. คำนึงถึงวัตถุประสงค์การใช้งานเป็นหลัก
2. งบประมาณ
3. ทำการพิจารณาคุณสมบัติต่างๆ ของคอมพิวเตอร์เพื่อประกอบการซื้อ ได้แก่

      3.1 ความเร็วของซีพียูหรือหน่วยประมวลผล
      3.2 ความจุของแรม
      3.3 ความจุของฮาร์ดดิสก์

      3.4 พอร์ตในการเชื่อมต่ออุปกรณ์
 
      3.5 อุปกรณ์ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

      3.6 หน้าจอแสดงผล

      3.7 บริการหลังการขายและการรับประกันตัวเครื่องคอมพิวเตอร์

      3.8 ในส่วนของการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบพกพา สิ่งที่ต้องพิจารณาเพิ่มด้วยคือ ระยะเวลาในการใช้งานของแบตเตอรี่
 


 

การบำรุงรักษาคอมพิวเตอร์



1. ทำความสะอาดเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยผ้าแห้งทุกครั้ง
2. ต้องทำความสะอาดเครื่องขณะที่ปิดเครื่องเท่านั้น
3. ในกรณีที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ ควรจัดวางคอมพิวเตอร์ในที่ปลอดโปร่ง ไม่ควรตั้งในมุมอับ เพราะจะทำให้การระบายความร้อนของพัดลมระบายอากาศทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร
4. ในกรณีที่ใช้สเปรย์ ไม่ควรฉีดน้ำยาลงที่เครื่องคอมพิวเตอร์โดยตรง
5. หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำและกินของขบเคี้ยวใกล้คอมพิวเตอร์
6. ในกรณีที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา ควรจัดหาซอฟต์เคสสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อป้องกันการกระแทกจากการตกหล่นของเครื่องคอมพิวเตอร์
7. ยืดระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่สำหรับคอมพิวเตอร์แบบพกพา โดยการปิดโปรแกรมที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานทุกครั้ง ปิดการเชื่อมต่ออุปกรณ์ เช่น ปิดการใช้งานบลูทูธ และปิดการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งเมื่อหยุดใช้งาน